ไม่มีบทความ
ไม่มีบทความ

ขำขัน คลายเครียด

คู่ทุกข์ คู่ยากแมน โดนรถชนอาการสาหัส แต่โชคดีที่ สมรเมียสาวไม่เป็นอะไรแมนอยู่ในอ้อมแขนของสมร

เมียรักระหว่างส่งโรงพยาบาล

แมน: สมร ผม กำ ลัง จะ ตาย…..

สมร: ไม่ค่ะแมน คุณต้องไม่เป็นไรนะค่ะทั้งคู่ ฟูมฟายเหมือนหนัง ละครทั่วๆ ไป

แมน: เมื่อสองปีก่อน ธุรกิจผมพังพินาศ ก็มีคุณอยู่ใกล้ๆ

สมร: ก็ฉันเป็นเมียคุณนี่ค่ะ

แมนแมน: เมื่อปีที่แล้วศาลฟ้องผม ให้ล้มละลาย ก็มีคุณอยู่ไม่ห่าง

สมร: โธ่ แมนอย่าพูดแบบนั้นสิคะที่รัก

แมน: ปลายปีที่แล้ว จำได้ไหมผมโดนยิงเกือบตาย ก็มีคุณอยู่ใกล้ๆ อีก

สมร: อย่าพูดเลยค่ะ ยังไงสมรก็ไม่ทิ้งคุณหรอกค่ะแมน แมนสำลักเลือดที่ไหลออกทางปาก กำลังจะตาย

แมน: สมร เข้ามาใกล้ๆ ผมสิสมรเอียงหูเข้าไปใกล้ให้แมนสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

แมน: จำไว้นะ…….อี หมอน………….มึง นะ มัน ตัว ซวย………

..ทางไป...สวรรค์.......

นายดำเป็นชายโสด อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลความเจริญเป็นอย่างมาก เมื่อคืนนายดำ

ได้ฝันถึงปู่ของเขาที่เพิ่งเสียไปในฝันเห็นปู่แค่เพียงรางๆ แต่ได้ยินเสียงชัดเจนมาก ปู่ของเขามาบอกเขาว่า

หนาวมากอยากได้ผ้าห่มสักผืนจะได้หายหนาว แล้วก็หายวับไป วันรุ่งขึ้นนายดำได้คิดถึงความฝันรู้สึก

สงสารปู่ของเขาอย่างมากเขาได้เตรียม ผ้าห่มไว้ 1 ผืนแต่เกิดปัญหาเสียก่อนปัญหาคือเขาลืมถามปู่ไปว่า

จะส่งผ้าห่มให้ปู่ได้อย่างไรปู่ถึงจะได้รับและได้หายหนาวเสียที คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วเขาก็นึกได้ว่าปู่

ของเขาเป็นคนดีตอนนี้น่าจะอยู่บนสวรรค์ คิดได้ดังนั้นเขาก็เข้าไปแต่งตัวและหยิบผ้าห่มออกจากบ้านเพื่อที่

จะหาทางไป สวรรค์ตลอดทั้งวันเขาเจอใครที่เดินผ่านมา หรือเดินผ่านบ้านใครเขาก็จะถามถึงทางไป

สวรรค์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครให้คำตอบได้นายดำเดินมาตามทางอย่างคนสิ้นหวังนึก สงสารปู่จับใจ

ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แล้วเขาก็ได้หยุดเดินทางมานั่ง อยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่งแล้วถอนหายใจอย่าง

คนปลงตก แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคุยกันดังออกมาจากในกระท่อมหลังนั้น' พี่ทนไม่ไหวแล้ว

พี่จะพา น้อง ไปสวรรค์แล้วน่ะ '' เอาเลยจ๊ะพี่ น้องพร้อมแล้ว เราไปกันเลย 'นายดำได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่ง

ไปถีบประตูกระท่อมทันทีและเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า' เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ฉันฝากผ้าห่มไปให้ปู่ฉันด้วย ' สอง

ผัวเมียอ้าปากค้างในขณะที่นายดำได้บอกชื่อและนามสกุลปู่เสร็จสรรพและเอ่ย ขอบคุณก่อนออกมา

จากกระท่อม และพูดกับตัวเองเบาๆว่า' มิน่าล่ะปู่กูถึงหนาวก็คนไปสวรรค์เขาแก้ผ้ากันไปทั้งนั้น '

แล้วแต่ความสวย

มีคู่บ่าวสาวคู่หนึ่ง จะมาแต่งงานที่โบสถ์แห่งหนึ่ง โดยมีบาทหลวงเป็นผู้ทำพีธี เมื่อทำพีธี

เสร็จแล้วเจ้าบ่าวก็ได้ถามกับบาทหลวงว่าค่าใช้จ่ายในงานนี้ทั้งหมดเท่าไร ส่วนบาทหลวงก็ตอบกลับมาว่า

"แล้วแต่ความงามของเจ้าสาว"" ถ้าสวยมากก็ให้มาก ถ้าสวยน้อยก็ให้น้อย เจ้าบ่าวก็ได้เอามือล้วง

กระเป๋าอยู่พักหนึ่ง แล้วหยิบเหรียญ 5 ขึ้นมาให้กับบาทหลวง บาทหกลวงจึงได้ถามว่า "ทำไมคุณถึงได้ดู

ถูกความงามของเจ้าสาวคุณอย่างนี้" แล้วบาทหลวงก็ได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวดู แล้วบาทหลวงก็ทอน

เงินให้กับเจ้าบ่าว 3 บาท (แล้วคุณก้คิดเอาเองว่าเจ้าสาวสวยมากน้อยขนาดไหน)

ทำไม่ได้หรอกค่ะ

สุดสวาท : คุณหมอคะ ช่วยแนะนำวิธีลดความอ้วนแบบปลอดภัยให้ดิฉันทีค่ะตอนนี้ใกล้จะ 100 โลแล้วค่ะ

หมอ : คุณก็ต้องพยายามลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ออกกำลังกายทุกวัน และที่สำคัญต้องลดของมันๆ ให้น้อยลง

สุดสวาท : แหมที่คุณหมอพูดมาทั้งหมดเนี่ยดิฉันก็พอทำได้แต่ว่าดิฉันพึ่งจะแต่งงานน่ะค่ะ ไอ้จะให้ลดของมันๆ คงทำไม่ได้หรอก

หักมุมมัดยิ้ม

เบียร์-เมีย
ไม่มาวเหล้า แต่เรายังมาวเบียร์
อีกสาวเชียร์ ก็น่ารัก เป็นหนักหนา
ได้ทั้งมาวได้ทั้งเพลินเจริญตา
แสนหรรษาจริงเรา...ได้มาวเบียร์
เบียร์เย็นๆ ช่วยคลายทุกข์ ที่รุกเร้า
ดับความเศร้า โศกสลด ให้หมดเสีย
สดุดีพระคุณล้ำของน้ำเบียร์
ดีกว่าเมียที่บ้านบานตะไท...เอิ้กๆๆ

สลา คุณวุฒิ

ครูบ้านป่า...สลา คุณวุฒิ


ครูบ้านป่า...สลา คุณวุฒิ
คุณคงเคยได้ยินเพลง...จดหมายผิดซอง, กระทงหลงทาง, ยาใจคนจน, ล้างจานในงานแต่ง, ปริญญาใจ และมากมายหลายเพลงที่ดังติดหู ร้องได้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งผู้สร้างสรรค์งานเพลงอันไพเราะ ฟังแล้วโดนใจจนต้องบอกว่า “ใช่” จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากครูเพลงคนอุบลฯ... สลา คุณวุฒิ
เข้าวงการแต่งเพลงได้อย่างไร
ครูสลา : “เป็นความบังเอิญ 60% อยากเป็นนักเขียนตั้งแต่อยู่ ป.5-ป.6 ฝึกเขียนหนังสือมาเรื่อย ตอนเด็กๆจะเป็นเด็กเรียน แต่ด้วยความที่เป็นคนง่ายๆ ก็เลยมีทั้งเพื่อนเรียนและเพื่อนขี้เล่น เพื่อนพวกนี้จะมีข้อดีอยู่อย่าง คือมีความคิดสร้างสรรค์ เราก็เลยได้สิ่งเหล่านี้มาจากเพื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมสังเกตว่าเวลาเพื่อนอ่านงานเขียนจะรู้สึกเฉยๆ แต่เวลาเขียนกลอนเพื่อนจะชอบ ก็เลยหันมาเริ่มต้นแต่งเพลง แต่งแบบไม่รู้เรื่อง เล่นดนตรีก็ไม่เป็นแต่เข้าใจ...เข้าใจแบบเดาๆ อาศัยเป็นนักอ่าน นักฟังเพลง เวลาเพื่อนจะไปจีบสาวเขาก็ให้เราเขียนเพลงให้ เขียนไปเขียนมาก็เลยตั้งวงดนตรี “อ้อคำ” แต่พอกำลังจะไปได้ดีก็เรียนจบก่อน ช่วงนั้นแม่ป่วยเป็นเบาหวาน ก็เลยรีบไปสอบบรรจุเป็นครูอยู่ อ.ลืออำนาจฯ พอดี อ.รุ่งเพชร แหลมสิงห์มาร้องเพลงที่ทุ่งศรีเมือง เพื่อนก็แนะนำให้ลองเอาเพลงที่แต่งไปเสนอดู ผมก็รวบรวมเพลงได้ 20 เพลง ท่านก็เลือกไปอัดเพลงเดียวคือเพลง สาวชาวหอ”
ได้ยินเพลงที่ตัวเองแต่งออกอากาศรู้สึกอย่างไร
ครูสลา : “มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า “ได้ใจ” ก็เลยมาแต่งเพลงแบบเอาเป็นเอาตาย ช่วงนั้นมีเวลาว่างเยอะสอนหนังสือเสร็จตอนเย็นก็เล่นฟุตบอล ค่ำมาว่างก็เขียนหนังสือ อีกอย่างเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหน ก็เลยแต่งเพลงได้เยอะเลย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาดีทางนี้ รู้แต่ว่าทำแล้วมันสนุก ช่วงนั้นเพื่อนก็ชวนตั้งวงดนตรี ”เทียนก้อม” เริ่มซื้อหนังสือเพลงมาเปิดดู แล้วก็ส่งเพลงที่แต่งไปตามค่ายเพลง ส่งไปทุกเดือนไม่เคยหยุด ถ้าจะนับก็ประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ ก็ไม่มีใครติดต่อมา เพื่อนๆก็ชวนตั้งวงดนตรีอีกชื่อวง “กังหัน”
อะไรที่ทำให้ครูสลาส่งไม่เคยหยุดที่จะส่งงานเพลง
ครูสลา : “ไม่เคยคิดจะหยุดแต่ง ไม่เคยคิดจะหยุดส่งและก็ไม่คาดหวัง แต่ทำแล้วมันสนุก เพราะเราก็มีอาชีพเป็นครูอยู่แล้ว คิดแต่ว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นนักเขียนให้ได้ มุ่งมั่นในการเป็นนักเขียนมากกว่า ผมชอบเขียนนิยายท้องไร่ท้องนา ภาษาสวยๆ แบบครูนิมิต ผมส่งจนกระทั่งได้เป็นครูใหญ่ แต่พอแม่ป่วยหนักเป็นมะเร็ง หมอรักษาไม่ไหวให้แม่กลับมาอยู่บ้าน ผมก็เลยอยากได้เงินสักก้อนมารักษาแม่ ก็เลยแต่งเพลงอย่างหนักและเริ่มคาดหวัง
“ตอนที่ดูใจแม่ตั้งใจว่าจะแต่งให้ได้ 12 เพลงแล้วจะเอาเข้ากรุงเทพฯ แต่แต่งได้แค่ 8 เพลงแม่ก็เสียซะก่อน ก็เลยได้เพลงไปส่งค่ายเพลงชัวร์ ออดิโอ้ 8 เพลง กะส่งทิ้งทวน แล้วจะหันมาเอาดีทางสายบริหารการ ศึกษา ปรากฏว่า 8 เพลงที่ส่งไป มนต์สิทธิ์ คำสร้อย เลือกเอา 2 เพลงไปร้องในอัลบั้ม แล้วทางค่ายก็บอกให้แต่งไปให้อีก ก็เริ่มมีกำลังใจ ผมก็เลยส่งเพลง “จดหมายผิดซอง” ซึ่งเป็นเพลงที่เคยแต่งไว้สมัยที่เป็นครู มนต์สิทธิ์ก็ชอบและเอาไปอัด ระหว่างที่รอเพลงนี้ออกอากาศ กลอนลำเพลง”ล้างจานในงานแต่ง”ของศิริพร อำไพพงษ์ ที่ผมแต่งให้ดังระลอกแรก ในเวลาไล่เลี่ยกัน เพลงจดหมายผิดซองก็ออกอากาศแล้วก็ดังระลอกสอง ก็เลยเป็นที่รู้จัก หลังจากนั้นก็ได้แต่ง “กระทงหลงทาง” ให้ไชยา มิตรไชย
ต่อมาแกรมมี่ก็มาทาบทามเพื่อไปร่วมงานกับไมค์ ผมก็ไปร่วมลุ้มลุกคลุกคลานกับเขาอยู่ประมาณ 3 ชุด จนชุดที่ 5 “ยาใจคนจน” ซึ่งชุดนี้มีความรู้สึกว่าเริ่มเข้าใจการทำงานมากขึ้น เมื่อก่อนมันอ๋อมาเรื่อย แต่ก็ยังไม่ใช่ แต่พอเราเข้าใจ ความแม่นยำมันก็เกิดขึ้น เราก็รู้แล้วว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ในที่สุดก็เลยออกมาเป็น ”ปริญญาใจ”, “รองเท้าหน้าห้อง” แล้วก็อีกหลายเพลงตามมา ถึงวันนี้ก็ประมาณ 700 เพลงมั้ง
พองานมากขึ้น เวลาเริ่มไม่ลงตัว เพราะต้องรับหน้าที่ Producer ต้องไปคุมเอง หลังๆนี่ต้องดูทุกอย่าง พูดง่ายๆ คือปั้นศิลปินขึ้นมาให้ดัง ปี 43 ก็เลยตัดสินใจลาออกจากการเป็นครู“
ในการแต่งเพลงครูสลาได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ครูสลา : “มันมาจากหลายทาง อย่างแรกมาจากสิ่งรอบตัว 2. คือ คำ คิดคำดีๆเจอคำดีๆ ก็เอามาแต่ง อย่างที่ 3 คือสร้างเรื่องขึ้นมาเหมือนนิยาย สมมติเห็นรองเท้า 2 คู่อยู่หน้าห้อง ก็สร้างเรื่องขึ้นมาเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ตรงนี้ผมอาจจะได้เปรียบเพราะชอบเขียนเรื่องสั้นมาก่อน 4.ได้จากตัวนักร้อง ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ขั้นสูง ถือว่ายากสุด ซึ่งผมเริ่มทำได้แล้วหลังจากทดลองกับต่าย พูดง่ายๆ คือแต่งเพลงให้เหมาะกับบุคลิกนักร้อง เราจะรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนยังไง สำหรับผมก็จะใช้วิธีแอบดูว่าเขาเป็นคนแบบไหน พูดอย่างไร มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าต่ายไม่มีเพลงเร็วเพลงเต้น เพราะคนดูเขาก็ไม่เชื่อ พูดง่ายๆ ภาษาบ้านเราคือ “เฮ็ดแนวมันคือ แนวมันไม่คืออย่างเฮ็ด” ถ้าบ้านเราว่าไม่คือ ก็แสดงว่าไม่ดังหรอก คำว่าคือคำเดียวที่เขาใช้ตัดสินนักร้อง”
เวลาที่เพลงครูดัง มีคนร้องได้รู้สึกอย่างไร
ครูสลา : “ดีใจ นี่คือรางวัลที่แท้จริงเหนือกว่ารางวัลอื่นๆ เป็นค่าตอบแทนสูงสุด บางคนอาจจะมองว่าได้มาง่าย เพลงนี้ก็ดัง เพลงนั้นก็ดัง แต่ถ้าได้มันก็ถือว่ามหัศจรรย์ คน 60 กว่าล้าน มีเพลงเป็น 1,000 เพลง แต่มีเพลงเราอยู่เพลงหนึ่งที่มีคนชอบ ผมไปได้ข้อสรุปนี้ตอนไปนั่งที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ไม่มีใครรู้จักผมเลย นั่งๆ อยู่ก็ได้ยินเขาเปิดเพลงที่เราแต่ง ก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว บ้านเราเรียกว่า “เป็นตางึด” คนตั้งเยอะ ไม่มีใครรู้จักเรา แต่เขาฟังเพลงเรา นี่คือค่าตอบแทนสูงสุดของคนสร้างงานศิลปะผู้หนึ่ง”
ทำไมถึงแต่งเพลงให้ผู้หญิงร้องได้โดนใจมาก เพราะครูสลาป็นผู้ชาย
ครูสลา : “ไม่แตกต่าง เพราะว่าเราอยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่ได้แยกเพศ เพียงแต่มันอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่าง แต่เราก็เข้าใจ ก็ไม่รู้สิ บางทีก็งงตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะเคยเป็นครูมานาน และช่างสังเกต สมมติผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเขาจะพูดคำหนึ่งออกมาแสดงว่าต้องเกินทนจริงๆ เราก็แอบจำความรู้สึกเหล่านี้ อาจจะเป็นเพราะใกล้ชิดกับแม่มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเข้าใจความรู้สึกผู้หญิง ส่วนหนึ่งคือเราอ่านนิยาย-เรื่องสั้นเยอะ ก็เลยเข้าใจตัวละคร ชอบอ่านหนังสือศาลาคนเศร้า(หัวเราะ) ชอบตรงที่ความซื่อ ความดิบ ถ้าจะพูดในแง่ของการเคารพความรู้สึก หนังสือเล่มนี้มันสะอาด ชาวบ้านคนหนึ่งอกหัก เขาคิดอย่างไรเขาก็พูดออกมาอย่างนั้น มันทำให้เห็นคำหลายๆ คำที่สะท้อนบุคลิกของผู้ชายกับผู้หญิงได้อย่างชัดเจน“
กว่าจะออกมาเป็นเพลงๆหนึ่งใช้เวลานานแค่ไหน
ครูสลา : “สมัยก่อนใช้เวลาไม่นาน เพราะยังไม่มีกรอบมากมาย แต่ทุกวันนี้เขียนได้ช้าลง อาจจะเป็นเพราะความล้าของร่างกายและสมอง อาจจะเป็นเพราะเรารู้มากเกินไป เป็นลักษณะเขียนแบบนี้ไปติดตรงนั้น เขียนแบบนั้นไปติดตรงนี้ เดี๋ยวคนนั้นคนนี้จะว่าหรือเปล่า ยิ่งรู้มากยิ่งหาที่หลบหลีกยาก จะไม่แคร์ก็ต้องแคร์ อันที่จริงเวลาในการแต่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่กว่าจะเตรียมความพร้อม กว่าจะปั้นมันออกมาให้เป็นเพลงได้ เฉลี่ยแล้วก็ใช้เวลาประมาณวันละเพลง นี่ขนาดเป็นคนอยู่ติดบ้าน แต่ถ้ามีเวลาก็จะออกไปแผงหนังสือ-แผงเทปนี่คือแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ ถ้าได้เข้าแล้วอยู่ได้ทั้งวัน”
เห็นตามสื่อต่างๆ ครูสลามักจะใส่เสื้อผ้าฝ้ายแนวอีสาน
ครูสลา : “มันมาจากความชอบ เพราะเราเป็นลูกชาวบ้าน เสื้อผ้าที่ใส่ก็มาจากผ้าฝ้ายที่แม่ทอ พอโตขึ้นก็ใส่เสื้อม่อฮ่อม ใส่แบบนี้มาจนมีความรู้สึกว่านี่คือตัวเรา “แบบนี้มันคือเจ้าของ” พอเห็นร้านขายผ้าฝ้ายอยากแวะทุกที เพราะมันคือเจ้าของ (หัวเราะ) จนใครๆ บอกว่าเป็นเครื่องแบบครูสลา พอเราชินมันก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันง่ายดี แล้วผมก็จะบอกลูกศิษย์ศิลปินบ้านเราให้ช่วยรณรงค์เรื่องนี้ว่า จะแต่งตัวอย่างไรก็ได้แต่ต้องให้เขารู้ว่าเราเป็นคนอุบลฯ อะไรเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ทำ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนชาตินิยม จะชอบอะไรที่เป็นอุบลฯ ชอบภาษาบ้านเรา อย่างชื่อวงที่แต่งก็ต้องมีคำอีสาน หรืออาจจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจาก อ.จรัญ มโนเพชร ผมชอบคนที่กล้าบอกตัวตนในความเป็นคนบ้านตัวเอง”
จริงๆ แล้วครูสลาเป็นคนแบบไหน
ครูสลา : “ค่อนข้างเครียดพอสมควร คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นคนอารมณ์ดี ผมว่าศิลปินทุกคนจะเป็นแบบนี้ แต่จะเครียดโดยงาน ช่วงหลังนี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้หงุดหงิด อาจจะเพราะความกดดัน ต้องทำงานตามกำหนดตลอด อีกอย่างพอได้มายืนตรงนี้ มันจะมีความกดดันในเรื่องของแรงเสียดสีจากภายนอกที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น…”
“มันก็เริ่มชินบ้าง แต่พอโดนบ่อยๆ เข้า มันก็รู้สึกว่าอีหยังกะด้อกะเดี้ย ...(อะไรกันนักกันหนา) บางคนก็เขียนเรื่องของเราโดยที่ไม่เคยมาถามเลยสักคำ แต่ก็มองว่าไม่ได้โดนเราคนเดียว วิธีจัดการกับความเครียดคือใช้ธรรมะ ต้องตั้งสติ ถ้าจะเปรียบมันก็เหมือนเราเดินไม่หยุด เป็นธรรมดาที่ต้องเจอทางขาด ถ้าไม่อยากเจอปัญหาก็ต้องหยุดเดิน นั่นก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ทำอะไร ในเมื่อเราเดินไม่หยุดยังไงก็ต้องเจออุปสรรค มันอาจจะไม่สามารถสร้างความพอใจให้กับคนรอบข้างได้ทั้งหมด อาจจะแค่ 70% ก็ถือว่าบุญแล้ว อีก 30% ก็เผื่อไว้ให้คนเกลียดบ้าง”
ถึงวันนี้ครูสลาประสบความสำเร็จหรือยัง
ครูสลา : “มันไม่มีความสำเร็จที่ 100% มันเป็นความสำเร็จชั่วขณะหนึ่งจากความลงตัวของหลายๆ อย่างรวมกัน เรียกว่าเราได้โอกาสมากขึ้น แต่จะไม่เรียกว่าความสำเร็จ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่มันจะไม่มีความสำเร็จอย่างแท้จริง มันจะไปเรื่อยๆ มันจะมีขึ้นมีลง แต่จะเรียกว่าได้รับโอกาสจากสังคม ตัวนี้มากกว่าที่เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่เกินฝันของเรา จากคนที่หวังว่าจะเป็นครูบ้านนอกคนหนึ่ง เวลาว่างเขียนหนังสือ มีความสุขตามอัตภาพ ก็ไม่รู้ว่าก้าวมาอย่างไรจนคนรู้จักมากมายขนาดนี้”
เคยคิดออกแบบอนาคตตัวเองหรือเปล่าว่าอยากให้เป็นอย่างไร
ครูสลา : “ผมอยากใช้ชีวิตที่สงบ กะว่าบั้นปลายชีวิตจะทำไร่นาสวนผสม อยากอยู่กับธรรมชาติ จะถ่ายภาพและก็เขียนหนังสือ มีพิพิธภัณฑ์ครูสลา มีทุ่งนา มีห้องทำงาน แต่ตอนนี้มันยังเป็นไปได้ยาก เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่เรา หลายคนอาจจะมองว่าผมรวย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้าเราเห็นแก่ตัวเราอาจจะรวยไปแล้ว(หัวเราะ) บางครั้งว่าจะเลิกทำแต่มันก็เลิกไม่ได้โดยปริยาย แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง ก็จะทำในสิ่งที่เรารักตามจังหวะที่ทำได้”
ครูสลาอยากจะบอกอะไรกับคนอุบลฯบ้างคะ
ครูสลา : “อยากให้ช่วยกันดีใจที่บ้านเรามีนิตยสารเป็นของตัวเอง ผมดีใจนะที่ได้เห็นและได้อ่านหนังสือของคนอุบลฯทำอย่างเวคอัพ อยากให้ช่วยกันดูแล และฝากขอบคุณพี่น้องที่ช่วยอุ้มชูผมและครอบครัว ซึ่งเราได้รับเกียรติอย่างคาดไม่ถึง และอยากให้ช่วยกันดูแลลูกหลานคนอุบลฯ ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหน เพราะการหาคนดีเจอสักคนมันเป็นเรื่องยาก แต่การดูแลคนดีมันยังเป็นปัญหาของสังคมไทยเรา ถ้าเราช่วยกันปรับตรงนี้จะดีมาก เขาอาจจะมีข้อเสียบ้างแต่รวมๆ แล้วเขาดีก็ช่วยกันสนับสนุนเถอะ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนอุบลฯ
ผมคิดว่าทุกคนรักบ้านเกิด อยากทำสิ่งดีๆ ให้บ้านเมืองตัวเอง บทพิสูจน์ก็อยากให้ดูวันนี้ที่เรามีคอนเสิร์ตดอกบัวเกมส์ ศิลปินบ้านเราทุกคนมาช่วยกันโดยไม่มีค่าตัว นี่เป็นผลพวงจากการที่เราช่วยกันดูแล” (ประโยคพวกนี้เอาเป็นคำโปรยนะ)
คำสอนครูสลา
คนเราจะเป็นแบบนี้ ถ้าต่ำกว่า จะโดนเหยียบ ถ้าเท่ากัน จะถูกอิจฉา ถ้าเหนือกว่า เขาอยากเป็นเพื่อน
คนที่จะเป็นนักแต่งเพลงได้ ต้องเป็นคนที่รักเพลง
รักอ่านและก็รักเขียน ถ้าไม่รักทำไม่ได้

ไผ่ พงศธร

ประวัติ ไผ่ พงศธร


ประวัติ ไผ่ พงศธร
จากเด็กชายที่เกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในหมู่บ้านสร้างแต้ อ.กุดชุม จ.ยโสธรเด็กชายคนนั้นได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวมีอดบ้างมีกินบ้าง คละเคล้ากันไปตามสภาพสังคมชนบท กาลเวลาผ่าน ไปจนเขาเติบใหญ่ และเรียนจนจบมัธยมปลาย เขาจึงเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยความคิดแต่เพียงว่ามาช่วยพี่สาวขายลาบแต่แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อมีคนเห็นแววและพยายามผลักดันกันอยู่หลายปี จนเขาได้มีโอกาสทำเพลงกับค่ายกับแกรมมี่โกลด์ในชื่อชุดว่า?ฝนรินในเมืองหลวง?
ไผ่ พงศธร เกิดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2525 มีพี่น้อง 4 คนไผ่จะเป็นคนสุดท้ายที่บ้านมีอาชีพทำนาและพ่อแม่จะมีอาชีพเสริมคือเล่นหมอลำชีวิตในวัยเด็กของไผ่ จะเป็นครอบครัวที่ลำบากด้วยความยากจน พ่อแม่ไผ่ต้องพาครอบครัวออกไปอยู่ที่นาที่ห่างจากหมู่บ้านออกไปประมาณ3 ก.ม. โดยปลูกเป็นกระต๊อบเล็กๆที่แทบจะกันแดดกันฝนได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลยนอกจากวิทยุทรานซิสเตอร์และทีวีขาวดำขนาดเล็กที่เวลาดูต้องต่อไฟจากแบตเตอรี่ จนต่อมาเมื่อขึ้นชั้น ม.4 พ่อของไผ่ก็เสียชีวิต ในช่วงนั้นถือเป็นการหักเพชีวิตครั้งใหญ่เพราะพ่อคือเสาหลักของบ้าน ไผ่ต้องตัดสินใจออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเพิ่มขึ้น และเป็นจังหวะเดียวกันกับคณะหมอลำแถวบ้านที่ไผ่มักชอบไปนั่งดูการแสดงเสมอ
ขาดนักแสดงหน้าวงพอดีเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมวงหมอลำทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่เด็กยกเครื่องและเต้นโชว์หน้าเวที ร่วมคณะอยู่ประมาณ2 ปี ทางวงหมดหน้างานจึงทำให้เด็กในวงลำบากจนต้องออกมา ?ลำขอข้าว? เป็นการลำในหมู่บ้านเพื่อขอข้าวจากบ้านต่างๆจะถือกระบุง กระสอบบ้างตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อขอข้าวมาขายแล้วเลี้ยงในวงที่ไม่มีงาน ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องแยกย้ายกันไป เพราะเงินไม่พอเลี้ยงเด็กในวง ในช่วงที่อยู่บ้าน ไผ่ได้รู้จักกับ หยก ลูกหยี (จิตรชัย ภวังคาม)จากการชักชวนของญาติ หยกได้ชักชวนอยากให้ไผ่ได้เป็นนักร้อง ด้วยการทำเดโมเพื่อไปเสนอตามค่ายเพลงต่างๆสลับการประกวดร้องเพลงจากเวทีต่างๆ และก็ได้ห่างกันไป เล่นหมอลำและเรียน
หนังสืออยู่จนจบ ม.6 จากนั้นพี่สาวก็ให้ไผ่ เข้ากรุงเทพฯ มาช่วยขายลาบแถวราษฏร์บูรณะ ไม่ว่าจะล้างจาน เด็กเสิร์ฟ ทำความสะอาด และต่อมาได้รับการติดต่อจากหยก เพื่อจะนำเสนองานเพลงกับค่ายเพลงอีกครั้ง
ในช่วงนั้นไผ่จึงตัดสินใจแยกออกมาจากพี่สาวเพื่อทำเพลงเสนอค่ายเพลงอีกครั้ง ช่วงนั้นเป็นช่วงของความลำบากของไผ่ หยก และเพื่อนๆเป็นอย่างมาก บางวันมีเงินรวมกันแล้วได้แค่ 5 บาทต้องเอาเงินซื้อข้าวเปล่ามา 1 ถุงส่วนกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงไม่มีอยู่แล้วเพราะมีเงินแค่นั้นจึงต้องใช้วิธีขอน้ำปลาจากร้านที่ซื้อข้าวโดยเทใส่ถุงเล็กๆมาด้วย พอถึงห้องก็ใช้น้ำปลาราดข้าวและด้วยความที่ไม่มีเงินทั้งจานและช้อนกินข้าวก็เลยไม่มี พอไม่มีช้อนก็เลยเอามีดตัดขวดพลาสติกมาทำเป็นช้อนแบ่งกันคนละนิดละหน่อยจนบางครั้งถึงขนาดที่ไม่ได้กินข้าวถึง 2 วัน เพราะไม่มีเงิน ซื้อจนบางครั้งต้องเอาบัตรประชาชนไปเซ็นร้านค้าแถวนั้นแต่พอบ่อยๆก็ไม่ให้เซ็นแม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ยังไม่มีเงินจำต้องเดินเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตรเลยทีเดียวหรืออย่างบางครั้งต้องเดินดูตามตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อดูว่ามีเงินที่ค้างอยู่ตามช่องคืนเหรียญบ้างหรือเปล่า บางครั้งต้องเดินเป็นสิบๆ ตู้ซึ่งก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าได้ก็แค่ประมาณ4 ? 5 บาทเท่านั้น ไผ่บอกว่าช่วงนั้นอย่าว่าแต่เรื่องของอนาคตเลยไม่มีความหวังเขาคิดแค่เพียงว่า วันพรุ่งนี้จะเอาอะไรมากินแค่นั้นเอง
ชีวิตเป็นแบบนี้อยู่นานและบ่อยครั้งที่ไผ่ท้ออยู่หลายครั้ง และคิดเลิกจะเป็นนักร้องในที่สุดไผ่ก็ตัดสินใจไปช่วยพี่สาวขายลาบอีกครั้ง แต่จากนั้นไม่นานโชคชะตาก็เข้าข้างเมื่อหยกได้พบอ.สลาและนำเดโมที่เคยทำให้ อ.สลาลองได้ฟัง จน อ.สลาสนใจและเรียกเข้าไปสกรีนเทสต์ที่แกรมมี่ในครั้งแรกไผ่ไม่เชื่อหยกว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเค้ามีความคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้ามาแกรมมี่ได้จนในที่สุดได้สกรีนเทสต์ และได้เซนต์สัญญา จนได้ออกอัลบั้มในที่สุด ช่วงรอทำอัลบั้ม ทางบริษัท แกรมมี่โกลด์ ก็หางานให้ทำ โดยส่งให้ขึ้นเวทีวงไมค์ ภิรมย์พร เป็นครั้งแรก เพื่อฝึกฝนตัวเอง และเก็บเกี่ยวประสบการณ์หน้าเวทีให้ดีขึ้น ซึ่งในช่วงนั้นก็นำเพลงของนักร้องรุ่นพี่อย่าง เอกพล มนต์ตระการ มาขับร้อง เพราะยังไม่มีเพลงเป็นของตัวเอง กับอัลบั้มแรกในชีวิต?ฝนรินในเมืองหลวง? จากนั้นการเริ่มต้นของชีวิตนักร้องก็เกิดขึ้น แกรมมี่โกลด์ ได้ใช้เวลาบ่มเพาะร่วม 2 ปีอัลบั้มชุดนี้จึงเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของครูสลา คุณวุฒิ?กลุ่มดาวรุ่งลูกทุ่งติดดาว? และนักแต่งเพลงดาวรุ่ง วสุ ห้าวหาญ โดยมีสิงห์เฒ่า ทุ่งขี้เหล็ก เป็นผู้สร้างสรรค์งานดนตรี มีหลากหลายบทเพลงอยากให้ลองฟัง

ยางลบหัวใจชื่อเสียสละ

ยางลบหัวใจชื่อเสียสละ / ไผ่ พงศธร
ความเป็นเธอยังติดอยู่ในหัวใจ ต้องใช้ยางลบอะไร ถึงจะเลือนหายไปจากความจำ เมื่อความเดียวดายขาน

ชื่อเธอทุกเช้าทุกค่ำ สั่งให้นิ้วมือคนช้ำเอื้อมไปกดเบอร์โทรอีกครั้ง พูดตรงๆบางทีก็มีน้ำตา เฝ้าเก็บเศษวัน

เวลาแทนเศษผ้าเช็ดรูปความหลัง

ทั้งกำไลข้อมือที่ห้อยมือถือกระเป๋าสตางค์ ของที่เธอเคยทำตกค้างรวมทั้งหัวใจพี่ขอส่งคืน

เราจะเลิกกันแล้ว ใจยังห่วงหาทุกวัน ฟ้าผืนเก่าที่เราวาดฝันให้เธอวาดหวังกับเขาคนอื่น อวยพรให้เธอพบ

รักที่มั่นคงยั่งยืน พี่ขอผ่านอีกคืน พร้อมกับปลอกหมอนที่เปื้อนน้ำตา

*ความเป็นเราให้จบจากวันนี้ไป พี่เจอยางลบหัวใจยี่ฮ่อง่ายๆชื่อเสียสละ

อย่างน้อยเคยรักกันขอเก็บวันวานกับคำร่ำลา เอาไว้ยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อได้ข่าวว่าเธอสุขสมหวัง

ไหมไทย ใจตะวัน

ไหมไทย ใจตะวัน


ไหมไทย ใจตะวัน
คณะหมอลำที่เคยอยู่ : อังคารแก้ววิเศษศิลป์, ก้องสยาม, นกยูงทอง, อุดรมิตรนิยม, หมอลำซิ่ง, เสียงอิสาน
ประวัติส่วนตัว
ชื่อจริง : นายมนต์ชัย นามสกุล รักษาชาติ ชื่อในวงการ : ไหมไทย ใจตะวัน (อุไรพร)
วัน/เดือน/ปีเกิด : วัน ศุกร์ ที่ 26 เดือน มกราคม พ.ศ. 25...
ภูมิลำเนา : บ.ดอนสั้น ต.ดอนมัน อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
บิดาชื่อ : นายมี รักษาชาติ
มารดาชื่อ : นางจูม รักษาชาติ
คณะหมอลำที่เคยอยู่ : อังคารแก้ววิเศษศิลป์, ก้องสยาม, นกยูงทอง, อุดรมิตรนิยม, หมอลำซิ่ง, เสียงอิสาน
ผู้ชักนำเข้าวงการ : อ.ดอย อินทนนท์
ผลงานที่บันทึกเสียงครั้งแรก : หยุดเสียใจเถิดน้อง
ผลงานที่สร้างชื่อ : รักสาวนครสวรรค์, ลารักกลับแนวรบ, เห็นเธอที่เยอรมัน, บักสิเด๋อ
เพลงที่สร้างชื่อ : แฟนเลือนสะเทือนใจ, ให้เขาเป็นคนสุดท้าย, เห็นเธอที่เยอรมัน, บักสิเด๋อ
ที่อยู่ปัจจุบัน : 164 หมู่ 10 บ.หัวแฮด ต.ธัญญา อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
ผลงานชุดแรก : บ่าวพันธุ์พื้นเมือง